จากบทความก่อนหน้านี้ที่ตั้งใจจะเขียนบันทึกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวจนกลายเป็นเริ่มต้นเขียนเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนการเดินทาง (บันทึกเดิม) ที่พูดถึง 5 หัวข้อคือ 1.พาสปอร์ต 2.ตั๋วที่พัก 3.เงิน
4.หัวแปลง และ 5.การจัดกระเป๋า แล้วนั้น วันนี้จะมาต่อกันที่เรื่องราวในวันที่เที่ยวจริง โดยแผนก็คือเดินทางจาก กรุงเทพ ไปลง กัวลาลัมเปอร์ (เมืองหลวงของมาเลเซีย-KL) จะเที่ยวตัว KL 1 คืน แล้วไปต่อ Genting อีก 1 คืน กลับมา KL 1 คืน ก่อนนั่งรถบัสไปยังมะละกา 1 คืน แล้วจึงข้ามไปสิงคโปร์ นอนที่นั่นอีก 3 คืน ซึ่งตรงกับวันชาติของสิงคโปร์พอดีด้วย
บันทึกนี้จึงอยากเล่าในช่วงวันแรกๆก่อน โดยพูดถึง KL Genting และ Batu cave (ถ้ำบาตู)
1.สนามบิน
จากสนามบินดอนเมือง สู่ สนามบินกัวลาลัมเปอร์
เตรียมพร้อมด้วยตั๋วเครื่องบินและพาสปอร์ต รองเท้าผ้าใบลุยเดินกันยาวๆ ประจำ ณ ประตูทางออก (Gate) ที่ 25 เที่ยวบินนี้เดินทางจากกรุงเทพมุ่งสู่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียของสายการบินแอร์เอเชีย (ตอนขึ้นไปเดาว่าน่าจะเป็นแอร์เอเชียของมาเลเองเลย สังเกตจากแอร์และสจ๊วต) เดินทางประมาณ 8 โมงกว่าๆ เกือบ 9 โมง ซึ่งเราก็มาถึงสนามบินประมาณ 7 โมง ยังไม่มีชื่อเที่ยวบินขึ้นบนจอแต่สายการบินต่างประเทศสามารถเช็คอินได้ก่อน 4 ชั่วโมง จึงทำการเช็คอินไปเลย เสร็จจากการเช็คอินก็เข้าสู่บริเวณผู้โดยสารระหว่างประเทศ ผ่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และตรวจสัมภาระ ถือว่ารวดเร็วพอสมควรเนื่องจากสามารถใช้ช่องที่เป็นอัตโนมัติได้ ทำให้ใช้เวลาได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าไปรอบริเวณทางออกที่ 25 โดยระหว่างทางก็หาข้าวกินในนั้นเลย ถือว่าแพงมากๆ กับกระเพราไก่ไข่ดาว ราคา 220 บาท (ลืมถ่ายเพราะหิว) แต่ก็เข้าใจได้ เพราะเราเองต้องการเข้ามาในบริเวณก่อน กลัวทาง ตม.จะช้า เลยไม่ได้หาของกินด้านนอกซึ่งถูกกว่าเยอะ แต่ก็สบายใจว่าไม่ตกเครื่องแน่นอน
2.ถึงกัวลาลัมเปอร์
ถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์เรียบร้อย มาลงที่อาคาร 2 การจะลงอาคารไหนนั้นขึ้นอยู่กับสายการบินเขาจะระบุไว้ชัดใน Boarding pass เราก็เดินตามทางมาเรื่อยๆ จนมาถึงส่วน ตม.ของมาเลเซีย ก็ใช้เวลานานพอสมควร คือเราเห็นตู้อัตโนมัตินะ แต่ไม่มีใครแนะนำว่าใช้ได้หรือไม่ ไม่มีใครนำร่องด้วย แต่ในใจก็คิดว่าไม่น่าจะได้ น่าจะมีไว้สำหรับคนในประเทศเท่านั้น จึงต่อคิวไปเรื่อยๆ รวมแล้วก็เป็นชั่วโมงกว่าจะผ่านจุด ตม.มาได้
ตรงจุด ตม. นั้น จนท.ก็จะถามนิดหน่อยเช่นพูดคุยว่ากลับวันไหน ไปเที่ยวไหนบ้าง ขอดูตั๋วขากลับ ขอดูใบจองที่พัก ทีนี้ของเรา จนท.ถามถึง Back Ticket แต่เราได้ยินเป็น Bag ticket ก็งงไปนิดนึงว่าจะขอดูตั๋วกระเป๋าทำไมเลยบอกว่าอยู่ที่แฟน ก็ชี้ไปทางแฟน จนท.ก็หันตามไปคุยอะไรกันสักอย่างระหว่าง จนท.ก็เลยรอว่า จนท.ทางแฟนจะให้ผ่านมั้ย ถ้าผ่านเราก็ผ่านด้วย 555 พอผ่านตรงนั้นมาเลยเข้าใจว่าจริงๆแล้ว จนท.ถามถึง Back ticket เพราะแฟนก็โดนถามแล้วเล่าว่าไม่ได้กลับไทยทันทีแต่ไปต่อสิงคโปร์โดยรถบัสแล้วค่อยบินกลับจากที่นั่น
ผ่าน ตม.มาก็เดินต่อมาเรื่อยๆ จนรับกระเป๋าเสร็จสับก็ออกไปสู่ด้านนอก เราก็มุ่งตรงไปยังร้านมือถือที่ได้ทำการซื้อซิมไว้กับทาง Klook - Klook เป็นแอปบริการการจองต่างๆ เราใช้บริการจากแอปนี้เยอะเหมือนกัน ได้แก่ ซื้อซิม จองตั๋วเข้า KL tower จองตั๋วขึ้นกระเช้าที่ Genting จองตั๋วรถบัสเข้าเมือง KL คือ
แอปนี้ทำให้เราได้ราคาที่ถูกกว่าแต่ก็มีข้อจำกัดว่ายังมีให้เลือกไม่มาก แต่ถือว่าเป็นการให้ตัวเลือกที่น่าสนใจ เช่น ถ้าเราซื้อตั๋วรถบัสเองราคา 90 บาท แต่ซื้อผ่านแอปได้ในราคา 84 บาท แล้วก็ไม่ต้องไปรอคิวซื้อสามารถเดินไปรอที่รถได้เลย หรือกระเช้าที่ขึ้นไป Genting ก็ราคาถูกกว่าไปซื้อหน้าเคาเตอร์และไม่ต้องต่อคิวซื้อยาวๆ ด้วย โชว์มือถือแล้วสแกนเข้าเครื่องได้เลย (ตื่นตาตื่นใจมากเมื่อเทียบกับประเทศเรา)
3.เริ่มเที่ยวใน KL
หลังจากเดินทางจากสนามบินด้วยรถบัสที่ซื้อไว้กับ Klook แล้ว ปลายทางคือสถานี KL sentral ตรงนี้เทียบเคียงได้กับสายใต้ใหม่ หรือ หมอชิตบ้านเรา แต่ดูดี และทันสมัยกว่ามาก คือเป็นสถานีที่สามารถต่อรถบัสไปได้ทั่ว เป็นจุดศูนย์กลางของรถไฟฟ้าและก็มีห้างด้วย (เข้าใจว่าสถานีบางซื่อของเราก็น่าจะเป็นลักษณะนี้ แต่ไม่รู้จะเชื่อมไปหมอชิตอย่างไร) ถึงแล้วก็เลยเดินไปฟู๊ดคอร์ตก่อนเลย หาของกินก่อน เดินวนอยู่หลายรอบ เลือกยากมาก แต่สำหรับคนกินง่ายอาจจะไม่ยากเท่าไร มื้อแรกก็จัดไปกับข้าวแกงกะหรี่ กลิ่นฉุนติดจมูก ติดตา ติดอก ติดใจมาก เสร็จแล้วก็ลงมาซื้อตั๋วรถไฟฟ้าแบบเที่ยวเดียวนั่งไปยังสถานี Masjid Jamek เพื่อเดินต่อไปยังที่พักชื่อ Big M hotel ตอนเช็คอินต้องจ่ายค่าภาษีเพิ่มอีก 10 ริงกิต เนื่องจากเป็นนโยบายของเขาที่ให้ลูกค้าเป็นคนจ่ายภาษีตรงนี้เพิ่มเติมจากค่าที่พักที่เราจ่ายไปกับ Agoda เรียบร้อยแล้ว
3.1 Petronas
เก็บกระเป๋าเสร็จเตรียมตัวออกเที่ยว เป้าหมายแรกคือตึก Petronas ตอนที่อ่านหนังสือมากะว่าจะขึ้นรถ GOKL ซึ่งบริการฟรี แต่ดูจากสถานการณ์แล้วไม่ค่อยมั่นใจว่าตรงไหน ยังไง เลยตัดสินใจขึ้นรถไฟฟ้าไปลงสถานี KLCC แล้วเดินต่ออีกหน่อย หามุมถ่ายรูปอยู่นานทีเดียว ถ่ายตั้งแต่ด้านข้างที่เห็นตึกจนมาถึงด้านหน้า ด้านใน ถ่ายเก็บไว้หมด
เสร็จจากตรงนี้แล้ว ดูจากแผนที่จาก Google Maps ง่ายๆเลย ตัดสินใจ "เดิน" จาก Petronas ไปยัง KLtower เดินไปสักพักเริ่มเหนื่อย 555 แต่เปลี่ยนใจไม่ทันแล้วเพราะมันใกล้จะถึงแล้ว พอไปถึงก็มีข้อมูลว่าสามารถนั่งรถเวียนได้ จากด้านล่างขึ้นไปทางขึ้นด้านบน นั่งรออยู่หลายนาที มีนักท่องเที่ยวอีกหลายชีวิตอยู่ตรงนั้น จนตัดสินใจ "เดิน" ต่อไปเพื่อไปยังทางขึ้น เจอ จนท.เดินสวนมา (สังเกตจากเสื้อ) ถามว่าอีกไกลมั้ย เขาตอบว่าใกล้ๆ เอาเข้าจริงมันก็ไม่ไกลนะ แต่ทางขึ้นเขาเล็กน้อย 555 เหนื่อยอีกเช่นเคย ซึ่งถ้าแนะนำเพื่อนๆ ถ้ามาจาก Petronas แนะว่านั่งแทกซี่มาก็ได้ (Grab ถือว่าดี) พาขึ้นไปจุดเตรียมขึ้นด้านบนเลย) ภาพตึก KL tower อยู่ไม่ไกลแล้วอีหนูเอ๊ย
3.2 KL tower
ก่อนเข้าสู่ KL tower ก็ต้องไปจุดซื้อตั๋วกันก่อน แต่เราจองมาจาก Klook เรียบร้อยแล้วก็สามารถไปเข้าช่องเคาน์เตอร์พิเศษเพื่อรับตั๋วของเขาแล้วไปเข้าคิวรอขึ้นได้เลย คิวยาวมาก คนเยอะมากๆ ใน KL tower นี้ตั๋วจะมีให้เลือกว่าจะขึ้นไปถึงชั้นไหน จะมีชั้นสูงสุดที่เปิดโล่งเห็นวิวทั้งหมด กับชั้นที่รองลงมาจะอยู่ในกระจกต้องใช้กล้องส่องดู เราก็เลือกซื้อแบบทั้งหมดคือดูได้ทุกชั้น และภาพชั้นบนสุดเป็นเช่นนี้ สวยมากๆ
เราใช้เวลาอยู่ตรงนั้นนาน เพื่อซึมซับบรรยากาศให้คุ้มที่สุด ก่อนจะลงมา แต่เสียดายอยู่อย่างนึงก็คือไม่ได้แวะลงที่ชั้นที่เป็นกล้องส่องด้วยความที่เริ่มค่ำและหิวเลยรีบลงมาแล้วไปหาของกินต่อ
เมื่อลงมาแล้วก็เก้ๆ กังๆ กับการตัดสินใจว่าจะแทกซี่หรือจะเดินดี ก็เริ่มปวดขากันแล้วทั้งสองคน แต่ก็ยังงกและบอกตัวเองว่าไหว ก็เลยตัดสินใจ "เดิน" ต่อไป จาก KL tower มุ่งหน้าสู่ Jalan Alor เข้าใจว่าคำว่า Jalan แปลว่าถนน ก็เดินตาม Google บอกเลย เดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ เกือบหลงเหมือนกัน เพราะมือถือเราใช้ Samsung ของแฟนใช้ Iphone เราเปิด GMaps ให้แฟนเปิด IphoneMap มันเหมือนจะแนะนำไม่เหมือนกัน แต่แฟนก็ยอมเชื่อเรา สุดท้ายก็ถึงถนน Alor จนได้ ซึ่งถนนนี้ถ้าให้นึกถึงบ้านเราก็น่าจะเทียบได้กับเยาวราช และเราเลือกกินร้านอาหารไทย 555 คือมีความรู้สึกว่ามันเหนื่อย มันโหย อยากกินเบียร์เย็นๆ กับต้มยำ จึงเลือกกินร้านอาหารไทยซึ่งเจ้าของร้านเป็นคนไทยด้วย ก็เลยง่ายเลย สั่งมาสองอย่างคือต้มยำกุ้งกับหมูแดดเดียว (ไท้ไทย) ถือว่ารสชาตดีเลยไม่แย่ กินกับเบียร์คาร์สเบิร์ก ที่ในไทยหาไม่ค่อยได้แล้ว แต่ที่นี่เพียบ แต่บอกไว้อย่างนึงว่าราคาอาหาร เครื่องดื่มค่อนข้างแพง อาจจะเป็นเพราะที่ท่องเที่ยวด้วยก็ได้ แต่ใน 7-11 เองก็ถูกกว่าไม่มาก (ไม่มีรูปอาหาร ขออภัย หิวมาก รีบกิน)
3.3 Jalan Alor
เมื่อกินเสร็จ ก็ดูการเดินทางต่อว่าจะไปอย่างไรดี ถ้านั่งรถไฟฟ้าก็อีกแค่ 2 สถานี นั่งแทกซี่ก็ไม่ไกล แผนที่บอก 2 กิโล ก็เลยเดินแล้วกัน ถือว่าดูเมืองเขาไปด้วย ปรากฏว่าเป็น 2 สถานีที่ห่างกันมากๆ กว่าจะเดินถึงที่พักแฟนตะคริวกินไป 2 รอบ หยุดบีบนวดกันไปตลอดทาง ทริปนี้ตั้งแต่วันแรก แฟนเจ็บเท้า เจ็บมือเป็นที่เรียบร้อย 555 แล้วพอไปดูที่นับก้าวเดิน ทะลุไปเป็นหมื่นๆ สมใจอยากเลยทีเดียว
4.Go Genting
ตื่นมาวันที่สอง ส่องบรรยากาศจากวิวที่พักสักหน่อยก่อนเริ่มเดินทางไป Genting
วิวจากที่พักมองเห็นมิสยิดจาเม็กชัดเจน วางแผนไว้ว่าจะไปวันสุดท้ายใน KL ก่อนดินทางสู่มะละกา
ลืมเล่าเรื่องรถไฟฟ้า ของที่นี่จะมีความคล้ายที่สิงคโปร์ คือ ทุกสาย เส้นทางสามารถเชื่อมต่อกันหมด แต่ไม่ถึงกับเชื่อมสนิท ไร้รอยต่อ ทอเต็มผืน (--เดี๋ยวๆๆ--) คือเมื่อจะทำการเปลี่ยนสถานีก็ต้องออกจากสถานีเดิมก่อนแล้วจึงเข้าสถานีใหม่ เหมือนการจ่ายเงินใหม่ แต่โครงสร้างทางอาคารจะเชื่อมต่อกัน เดินถึงกันง่าย ไม่ต้องลงบันไดแล้วเดินขึ้นใหม่เหมือนบ้านเราแม้ว่าจะเป็นคนละบริษัทก็ตาม ของที่นี่จะมีหลายชื่อเรียกมาก เช่น LRT MRT KTM ซึ่งแต่ละชื่อเรียกพอจะสื่อถึงพื้นที่ได้ เช่น MRT สื่อถึง Metro Rail LR สื่อถึง Light Rail ตามชนิดของรถไฟด้วย หรืออย่าง KTM ก็จะเป็นรถไฟที่วิ่งบนรางเก่าที่ออกไปนอกเมือง อย่างที่เราจะได้ไปถ้ำบาตูกัน
จากที่พักเรานั่ง LRT กลับไปยัง KL sentral เพื่อต่อรถบัสไปยัง Genting ณ Genting เราได้ทำการซื้อตั๋วกระเช้าจาก Klook เรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้าไปต่อคิวขึ้นกระเช้าได้เลย
สถานีกระเช้า Awana Skyway เป็นจุดขึ้นลง ปลายทางคือ Genting แต่ระหว่างทางสามารถลงไปเที่ยววัดได้ Chim Swee Temple แต่ราคาตั๋วต่างกันนะ ระหว่างซื้อเที่ยวตรงไปยัง Genting เลยกับซื้อเพื่อแวะระหว่างทางด้วย เพราะเมื่อลงสถานี Chim Swee Temple ก็จะมีตู้อัตโนมัติเพื่อสแกนตั๋วเข้าออกด้วย เชิญชม บรรยากาศวัด
เมื่อลงสถานีนี้แล้ว ต้องเดินลงไปอีกเพื่อไปยังพื้นที่วัด แต่เดชะบุญ ที่ดีเหลือเกินที่มีบันไดเลื่อนให้เราได้เดินกันชิวๆ ไปยังวัด มิเช่นนั้นแล้ว คงถอดใจไม่ไปแน่นอน เห็นวัดอยู่ลิบๆล่ะ
จากนั้นก็กลับมาขึ้นกระเช้าอีกครั้ง และปลายทางของเราก็คือ Genting เมื่อเข้าสู่สถานี Genting แล้ว ก็เดินกันต่อ การเดินในนี้ถือว่าสบายมากเพราะเป็นการเดินในห้าง คือตัวห้างและโรงแรมมันเชื่อมต่อกัน ดูป้ายและเดินต่อไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังโรงแรม First World Hotel ที่เราจองกันไว้ คือใน Genting นี้จะมีหลายโรงแรมให้เลือกแต่ตัว First World คือถูกที่สุดแล้ว ราคาทั่วไปประมาณไม่เกิน 2 พัน ขึ้นอยู่กับประเภทห้องและช่วงเทศกาล ซึ่งตอนที่เราไปเลือกเป็นห้องธรรมดาและไม่ใช่เทศกาลเลยได้มาราคา 645 บาท ไม่มีอาหารเช้า แต่ก็หาซื้อไม่ยาก มี 7-11 เดินไกลหน่อยก็เลยซื้อเป็นมาม่ามาเก็บไว้ เพราะมีน้ำร้อนให้ ราคาห้องเท่านี้ถูกมากๆ แต่ก็ต้องเสียค่าภาษีอีก 10 ริงกิต ซึ่งตอนนั้นอัตราอยู่ประมาณ 7-8 บาท แต่ก็ตีง่ายๆ ว่า 1 ริงกิตเท่ากับ 10 บาทไทย และตามเคยไม่ได้ถ่ายรูปห้องพักมาให้ดู หลงๆ ลืมๆ วางกระเป๋าเสร็จก็เดินลุยเที่ยวต่อเลยจ้า งั้นไปดูภาพบรรยากาศรวมๆ กันดีกว่า (จริงๆ มีภาพเยอะกว่านี้นะ แต่เป็นภาพติดแฟนก็เลยไม่ขอเอามาลง ยังไม่ได้ทำการขออนุญาต 555)
ล็อบบี้ของ First World Hotel ที่นี่เขาจะให้เช็คอินกับตู้นะ เริศมากๆ วางพาสปอร์ต จิ้มเลือก กรอก Booking Number เลือกวิธีการจ่ายตัง (ภาษี) เรียบร้อยก็จะมี key card ออกมาให้ทันที ง่ายมาก ช้าแค่ต้องรอเวลา 15.00น. เพื่อทำการเช็คอินเพราะที่นี้ชัดเจนมากเรื่องเวลา ถ้าเช็คอินก่อนอาจมีค่าปรับ แล้วก็มีคนเยอะต้องต่อคิวใช้ตู้ นี่แค่สองวันที่อยู่ที่นี่ก็มีความคิดอยู่ตลอดว่าอยากให้ประเทศเราพัฒนาให้ได้แบบนี้ มันสะดวกสบายจริงๆ รูปบรรยากาศคร่าวๆ ภายใน Genting และในคืนนี้เป้าหมายนึงคือ Casio แต่แน่นอนถ่ายรูปไม่ได้ เอากล้องเข้าไม่ได้ มือถือก็ห้ามถ่าย มีคนคอยจ้องตลอดเวลา รูปบรรยากาศรอบนอก คือเดินสำรวจไปทั่วเลย ตึกที่มีสีสันนั้นคือ First World Hotel อารมณ์ Genting จินตนาการได้ประมาณว่าเอาห้าง โรงแรม สวนสนุกไปตั้งไว้บนภูกระดึง หนาวตลอดเวลา ทั้งปี แน่นอน แต่เรื่องนี้ก็คงต้องถกเถียงกันต่อไป ถ้าเกิดในไทยเราจะทำบ้างคงต้องดูว่าที่ไหนจะเหมาะ ความคิดส่วนตัวคือต้องหาที่ที่ความสมบูรณ์ไม่ค่อยมี ซึ่งถ้าเทียบกับภูกระดึงแล้วความสมบูรณ์ของธรรมชาติยังมีอยู่มาก
เล่าสู่กันฟังใน Casio ที่ Genting ตอนเข้าไปก็เอ๋อมาก ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร แลกเหรียญหรืออะไรยังไง ดีที่มีพนักงานมาถามซึ่งพูดไทยได้ แต่ไม่ใช่คนไทย คงได้ยินเราพูดคุยกัน เลยแนะนำการเล่น เริ่มแรกเลยคือต้องมีการ์ดที่เปรียบเสมือนเงิน แล้วเราก็ทำการเติมเงินเข้าไปในการ์ด แล้วก็ไปเล่นเลย เครื่องเล่นแรกง่ายๆ คือ Slot Machine (รอเธอ วันนั้น วันนี้พรุ่งนี้ วันที่เท่าไร - ไม่ใช่แระ) เสียบการ์ด เติมเงินในเครื่องได้เลย สอดธนบัตรเข้าไป ขั้นต่ำต้องใส่ 10 ริงกิต แล้วตอนจะหมุนก็เลือก bet ว่าจะลงเท่าไร มีตั้งแต่ 1
ริงกิตแล้วยังมีการแทงแบบคูณกี่เท่าด้วย ต้องลองๆ สำหรับการเล่นแบบอื่นไม่ได้ไปลองเพราะไม่กล้า และใช้งบมาก เช่น Russian Roulette, Poker, etc.
รุ่งเช้าลงจาก Genting เพื่อมาสถานีด้านล่าง ซื้อตั๋วกระเช้ากับตู้อัตโนมัติราคา 9 ริงกิตต่อคน ลงมาถึงด้านล่างเรียบร้อยก็ไปซื้อตั๋วกับตู้ต่อได้เลย เพื่อขึ้นรถบัสเดินทางกลับไปยัง KL sentral ซึ่งตู้ซื้อตั๋วรถบัสนี้ดีมากๆ เลยนะ สามารถซื้อตั๋วจากตู้นี้เพื่อไปที่ไหนก็ได้ เช่น อยู่ที่ Genting จะซื้อตั๋วจาก KL ไปปีนังก็ยังได้เพียงแต่เราต้องไปขึ้นตามสถานที่ระบุไว้ ซึ่งเรามีจุดมุ่งหมายคือซื้อตั๋วเพื่อกลับไปยัง KL sentral ก่อน แล้วมุ่งหน้าต่อไปยังถ้ำบาตู
5.Batu Cave
มาถึง KL sentral เรียบร้อยก็ทำการซื้อตั๋วไป Batu Cave ที่เคาเตอร์ KTM commuter เพราะเป็นสายที่ไปนอกเมือง รอนานหน่อย 30-60 นาที แล้วแต่รอบ ราคาเที่ยวละ 3.6 ริงกิตต่อคน ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
ถ้ำบาตู เป็นพื้นที่ที่ตั้งของตัวถ้ำ และวัดรามเกียรติ์ ตัวถ้ำบาตูจริงๆ ไม่ได้เข้าไปเพราะต้องเดินบันไดหลายสิบ หลายร้อยขั้นไปก่อนถึงจะไปเจอถ้ำ ซึ่งวันนั้นไม่ไหว อากาศร้อนด้วย หนักกระเป๋าด้วย
รูปนี้เป็นส่วนของถ้ำรามเกียรติ์ มีค่าเข้า 5 ริงกิต ถือว่าโอเคนะ เป็นถ้ำที่มีพื้นที่กว้าง แล้วก็บันไดให้เดินขึ้นไปชมวิวมุมสูงด้วย แล้วก็เดินต่อไปอีกหน่อยไปสู่ด้านหน้าของถ้ำบาตู
ด้านหน้าของบริเวณถ้ำบาตู จะเห็นว่ามีบันไดหลากสีตรงนั้น ที่เราต้องเดินขึ้นไป เพื่อไปสู่ทางเข้าถ้ำ แต่ไม่ไหวจริงๆ เลยไม่ได้ขึ้นไป 555
จากถ้ำบาตูก็เดินทางกลับด้วยรถไฟเดิมกลับมายังสถานี KL sentral เพื่อต่อรถกลับไปที่พักที่สถานี Masjid Jamek (แต่จากการดูแผนที่และข้อมูลสามารถนั่งรถฟรีจากบาตูไปสู่สถานีรถไฟอีกสายได้ แล้วสายนั้นจะผ่านสถานีมัสยิดจาเม็กพอดี แต่เพื่อความชัวร์เลยตัดสินใจกลับทาง KL sentral ดีกว่า
6.China Town
กลับถึงที่พักเรียบร้อย อาบน้ำ พักเหนื่อยเสร็จ ออกไปหาข้าวเย็นกินที่ China Town ไปด้วยความงงๆ (เหมือนเดิม) ดูแผนที่เดินตามไปเรื่อยๆ เดินไปมาเกือบหลง หาไม่เจอสักที เริ่มท้อ ตัดสินใจหันหลังกลับ ทันใดนั้น ก็เจอทางเข้าพอดี China Town 555 เดินหาของกินไปเรื่อย ทำไมดูมีแต่ร้านค้า ไม่มีร้านข้าวเลย จนไปเจอร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ก็เลยเอาว่ะ ไม่ไหวแล้วหิว ระหว่างเบอร์เกอร์ในห้างฝั่งตรงข้าม ขอเลือกเป็นอาหารญี่ปุ่นแล้วกัน
เสร็จสมอารมณ์หมายกับมื้อเย็นที่งงๆกับเส้นทาง หลังจากอิ่มแล้วก็ไปเดินต่อ เดินดูของไปเรื่อย เลาะซอยต่างๆ จนไปเจอซอยที่เป็นของกินเยอะๆ 555 โถ พลาดไปได้ แต่ก็ตัดสินใจเก็บตกนิดหน่อย
เป็นเหมือนร้านปิ้งย่างที่มีทั้งแบบปิ้งย่างและต้ม เลือกของได้จากตัวร้านรถเข็นเลย ราคาตามสีไม้ เริ่มตั้งแต่ไม้ละ 1 ริงกิตจนไปถึงไม้ละ 10 ริงกิต ก็เลยเลือกมาทั้งแบบปิ้งย่างและต้ม นั่งรอที่โต๊ะ พอทำเสร็จก็มาเสิร์ฟ แล้วก็มีน้ำจิ้มให้หลายแบบ ตักราดแล้วก็กินได้เลย แต่ถ้าเราสั่งเยอะๆ อาจจะให้นั่งโต๊ะที่มีหมอต้มในตัว ไว้ต้มเอง อร่อยไปอีกแบบ จากนั้นก็เดินกลับไปขึ้นรถไฟฟ้า ก็เจอร้านของฝากก็ซื้อซะหน่อยจำพวกกาแฟขาว White Old Coffee พวกช็อคโกแลต ไว้ฝากเพื่อน พี่น้อง ญาติ แล้วก็เจอกับตู้ขายน้ำส้มค้นสด
ก่อนนอนฝากอีกภาพบรรยากาศจากห้องพักที่เห็นมัสยิดจาเม็ก
วันรุ่งขึ้นจะไปเก็บพื้นที่ใกล้เคียง คือ Merdeka เป็นเหมือนสนามหลวงของเขา เดินไปได้ เลยรู้สึกว่าวางแผนดีที่เลือกโรงแรมนี้ ใกล้แหล่งเที่ยวหลายแหล่ง ใกล้จุดเดินทาง สะดวกมากๆ
ติดตามกันบันทึกหน้านะครับ
Comments